โดย นายฟาบิโอ ทิวิติ
รองประธาน และผู้นำประจำภูมิภาคอาเซียน อินฟอร์
เราอยู่ในช่วงเวลาของการเปลี่ยนแปลงอย่างสิ้นเชิง (disruption) การเปลี่ยนแปลงซึ่งขับเคลื่อนด้วยการนำเทคโนโลยีดิจิทัลที่มีอยู่อย่างแพร่หลายมาใช้ และการเชื่อมต่อถึงกันอย่างมากมายมหาศาลที่โหมมาอย่างรวดเร็วกำลังสร้างผลกระทบต่ออุตสาหกรรมและบริษัททุกประเภท และกระทบไปจนถึงระดับประเทศ การดิสรัปทางธุรกิจกลายเป็นความปกติวิถีใหม่ (new normal) ไปแล้ว และทวีความเข้มข้นขึ้นเมื่อรูปแบบการทำธุรกิจแบบเดิมไม่ประสบความสำเร็จในหลาย ๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นการขนส่งและการเดินทางไปสำนักงาน
ระลอกคลื่นแห่งการเปลี่ยนแปลงนี้ยังแทรกซึมเข้าไปยังอุตสาหกรรมดั้งเดิม เช่น การผลิตอาหาร และเพื่อจัดการกับความเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ ผู้ผลิตอาหารต้องประเมินแนวโน้มการขยับตัวของตลาด และนำเทคโนโลยีและข้อมูลที่มีอยู่มาใช้ให้เกิดประโยชน์ในการทำให้บริษัทของตนอยู่ในตำแหน่งที่ได้เปรียบในการดำเนินธุรกิจต่อไปในอนาคต
ตรวจสอบรูปแบบของข้อมูล
ในช่วงแรกข้อมูลมักมีรูปแบบต่าง ๆ ที่ไม่ชัดเจน เราเคยเรียนรู้ที่จะแยกแยะข้อมูลบางอย่างในชีวิตประจำวันของเรา เช่น การโดดเรียนอาจจะทำให้สอบผ่านได้ยาก หรือพนักงานที่ทำงานตอบโจทย์หัวหน้างานมีแนวโน้มที่จะได้รับโบนัสก้อนใหญ่ปลายปี เป็นต้น ความท้าทายของผู้ผลิตอาหารทุกรายคือ การวิเคราะห์ข้อมูลที่มีอยู่อย่างถ่องแท้เพื่อให้เห็นถึงรูปแบบของข้อมูลที่ซ่อนอยู่ ซึ่งจะสามารถช่วยลดความสิ้นเปลืองและเพิ่มอัตราการผลิตได้
เพื่อให้การใช้ข้อมูลประสบความสำเร็จ ผู้ผลิตอาหารต้องดำเนินการโดยไม่คำนึงถึงข้อจำกัดใด ๆ มองหาปัจจัยที่เป็นมูลเหตุต่าง ๆ และพิจารณาชุดข้อมูลขนาดใหญ่จากทุกจุดที่มีข้อมูลอยู่ เช่น พิจารณาว่าหากอุณหภูมิในท้องถิ่นสูงกว่า 38 องศาเซลเซียส และมีความชื้นมากกว่า 95% ตลอดสัปดาห์แล้วจะเกิดอะไรขึ้น จะทำให้คุณภาพของอาหารได้รับผลกระทบ หรือทำให้เกิดความล่าช้าในระบบซัพพลายเชน ซึ่งจะเพิ่มความเสี่ยงจากการเน่าเสียและสูญเสียรายได้หรือไม่
การวิเคราะห์ข้อมูลอย่างเพียงพอจะช่วยให้ความเกี่ยวพันระหว่างความล่าช้าของการผลิตหรือปัญหาด้านคุณภาพ กับข้อติดขัดที่ไม่เป็นอันตรายกับการทำงานของระบบซัพพลายเชน กลายเป็นสิ่งที่ชัดเจนขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่น่าเสียดายที่องค์กรส่วนใหญ่ไม่มีช่องทางในการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมายังข้อมูลและระบบต่าง ๆ เพื่อบริหารจัดการและวิเคราะห์ข้อมูลในดาต้าเซ็นเตอร์ขององค์กร
ดังนั้นหากต้องการควบคุมและใช้ประโยชน์จากข้อมูลให้ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพแล้ว คลาวด์เป็นเทคโนโลยีที่เหมาะสมในการจัดการข้อมูลจำนวนมหาศาล ทั้งข้อมูลที่มีโครงสร้างและไม่มีโครงสร้างได้อย่างมีประสิทธิภาพ
คลาวด์มีความคล่องตัวเป็นคุณสมบัติสำคัญที่ช่วยให้การบูรณาการแหล่งข้อมูลที่แตกต่างกันเข้าด้วยกันได้อย่างราบรื่น และยังเป็นแพลตฟอร์มกลางที่ใช้แลกเปลี่ยนข้อมูลที่มีคุณภาพจำนวนมาก เพื่อความมั่นใจว่าผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกฝ่ายจะได้รับทราบและใช้ข้อมูลประกอบการตัดสินใจเรื่องต่าง ๆ ทางธุรกิจ
เจาะลึกมากขึ้นด้วยการวิเคราะห์ข้อมูล
ความสำคัญของการนำเทคโนโลยีดิจิทัลใหม่ ๆ เข้ามาเพิ่มประสิทธิภาพให้กับการทำงานในองค์กร เพื่อทำให้เกิดความล้ำหน้าทางการแข่งขัน และลดความยุ่งยากที่เกิดมายาวนานที่มีส่วนสำคัญต่อการเติบโตของตลาดบิ๊กดาต้าและการวิเคราะห์ข้อมูล ซึ่งฟรอสต์ แอนด์ ซัลลิแวนคาดการณ์ไว้ว่าจะมีมูลค่าถึง 40.6 พันล้านเหรียญสหรัฐในปี พ.ศ. 2566 เมื่อเป็นเช่นนี้ ผู้ผลิตอาหารควรหันไปใช้การวิเคราะห์ข้อมูลบิ๊กดาต้าของบุคคลที่สาม และใช้ผลิตภัณฑ์เวอร์ชวลไลเซชั่นเพื่อสร้างความเชื่อมต่อของข้อมูลหรือไม่
การเลือกใช้โซลูชั่นที่ถูกต้องเป็นสิ่งสำคัญมากที่จะช่วยให้ผู้ผลิตอาหารอยู่ในสถานะที่มั่นคง แม้เครื่องมือแบบเดี่ยว ๆ (สแตนด์อโลน) จำนวนมากมีความสามารถพอที่จะทำการวิเคราะห์สิ่งจำเป็น หรือใช้งานร่วมกับแดชบอร์ดขององค์กรได้ แต่แน่นอนว่าการจัดการกับสถานการณ์ที่มีความซับซ้อน เช่น การเชื่อมโยงความต้องการด้านการขายไปยังข้อมูลด้านการผลิต จะต้องใช้เครื่องมือที่เฉพาะเจาะจง
ข้อมูลเชิงลึกลักษณะนี้อาจเก็บรวบรวมจากระบบวางแผนทรัพยากรทางธุรกิจขององค์กร (ERP) เฉพาะทางของอุตสาหกรรมที่สร้างอยู่บนโดเมนต่าง ๆ ที่ชาญฉลาดและสัมพันธ์กัน ซึ่งสามารถเข้าถึงที่เก็บข้อมูลส่วนกลางได้ การที่สามารถเข้าถึงแหล่งข้อมูลทุกซัพพลายเชนได้อย่างคล่องตัว ช่วยให้องค์กรมีความพร้อมในการใช้ประโยชน์จากการวิเคราะห์ทั่วทุกเครือข่าย ช่วยให้ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกฝ่ายสามารถแจกแจงกระบวนการที่ซ้ำซ้อนหรือสร้างความสูญเปล่าได้อย่างรวดเร็ว
อาจกล่าวได้ว่าแมชชีนเลิร์นนิ่งมีความสามารถที่ช่วยยกระดับการทำงานไปอีกระดับได้ ในขณะที่บางคนมองว่าเป็นความนิยมชั่วครั้งชั่วคราว แต่การใช้แมชชีนเลิร์นนิ่งมีผลลัพธ์ในทางปฏิบัติที่มีค่ามากจากการใช้แอปพลิเคชั่นที่เหมาะสมของแมชชีนเลิร์นนิ่ง ในการเพิ่มประสิทธิภาพให้กับการวางแผนงานหรือลดความสิ้นเปลือง
การใช้เทคโนโลยีเพื่อหาข้อมูลเพิ่มเติม
ผู้ผลิตอาหารทั่วภูมิภาคเอเชียกำลังใช้เทคโนโลยีเพื่อหาข้อมูลที่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้มากขึ้น เช่น ผู้ประกอบการด้านปศุสัตว์อย่างน้อยหนึ่งรายได้เริ่มติดอุปกรณ์ติดตามการเคลื่อนไหวของวัวที่จะนำไปประมูลเพื่อให้ได้วัวที่แข็งแรงสมบูรณ์เพิ่มขึ้น ผู้ผลิตไวน์เริ่มใช้โดรนทำแผนที่เพื่อระบุจุดความร้อนในระหว่างวันของไร่องุ่นอย่างละเอียด และใช้กับพืชประเภทอื่น ๆ ด้วย เพราะสิ่งเจือปนต่าง ๆ ในอาหารที่ต้องสัมผัสกับอุณภูมิที่สูงมากมีความเสี่ยงต่อสุขภาพเช่นกัน
การเพิ่มขึ้นของเทคโนโลยีในราคาที่จับต้องได้ไม่ว่าจะเป็นโดรนหรืออุปกรณ์ IoT ทำให้มีการนำ เทคโนโลยีเหล่านี้ไปใช้อย่างแพร่หลายมากขึ้นกว่าเดิม การที่สามารถเข้าถึงและใช้งานเทคโนโลยีได้ง่าย นำไปสู่การใช้งานที่กว้างขวางมากขึ้น และในที่สุดจะทำให้เกิดโอกาสใหม่ ๆ ขึ้นอย่างมากมาย และเกิดความสามารถในการนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่ตรงตามความต้องการเฉพาะเจาะจงได้มากขึ้น
แม้ว่าสิ่งที่กล่าวมาอาจฟังดูน่าประทับใจ แต่สิ่งที่น่าสนใจมากกว่าน่าจะเป็นกรณีใช้งานที่ยังไม่ได้คิด วางแผนไว้ เมื่อมีการใช้งานใหม่ ๆ เกิดขึ้นแล้ว ความสามารถในการนำเทคโนโลยีไปปรับใช้อย่างรวดเร็ว สามารถช่วยให้ผู้ผลิตอาหารที่มีประสบการณ์ ได้ประโยชน์ในการเพิ่มประสิทธิภาพระบบซัพพลายเชนอย่างมีนัยสำคัญ สามารถระบุจุดที่ขาดประสิทธิภาพและเป็นผู้เริ่มต้นควบคุมและนำโอกาสใหม่ ๆ มาใช้