Real-time Payments Becomes Most Popular Way to Pay in Thailand as Pandemic Accelerates Digitisation of Payments – New ACI Worldwide Research Reveals

Almost three quarters (72%) of consumers in Thailand select real-time payment methods – such as PromptPay – as their preferred way to pay in 2021, higher than cash (63%) and digital wallets (49%).
Four in ten (40%) consumers in Thailand have reduced their usage of traditional payment methods such as cash, credit cards and debit cards since the onset of COVID-19.
Strong consumer demand for real-time payments demonstrates urgent need for payments modernisation across Southeast Asia and heralds the emergence of a regional cross-border, real-time payments ecosystem.

Bangkok– July 7, 2021 – Real-time payments are now more popular than cash and mobile wallets as a payment method for consumers in Thailand, according to new research from ACI Worldwide (NASDAQ: ACIW) and YouGov. Almost three quarters (72%) of consumers in Thailand chose real-time payment methods – such as PromptPay – as a preferred way to pay in 2021, higher than other payment categories such as cash (63%) and digital wallets requiring cash or card top-ups (49%).

This shift towards real-time payments has been dramatically accelerated by changing payment necessities and preferences caused by the COVID-19 pandemic. Four in ten consumers (40%) in Thailand have reduced their usage of payment methods such as cash, credit cards and debit cards since the onset of COVID-19. As a result, two thirds (66%) are now using real-time payments more than they were prior to the pandemic.

Due to rapid technological change, consumers now expect mobile-first and real-time experiences — however, payments have often lagged. The development of real-time payments systems enables consumers, merchants, and financial institutions to pay friends and customers, settle bills and transfer money instantaneously. While cash has always represented an “immediate” mode of payment, the advent of real-time payment rails brings this concept into the digital age with faster settlement periods, notifications, and consolidated reporting.

“This fundamental shift in consumer demand and payment expectations sets forth a challenge for Southeast Asia’s banks, financial institutions and merchants,” said Leslie Choo, managing director – Asia, ACI Worldwide. “These organisations can ill-afford to put their modernization projects on hold, despite the challenges caused by COVID-19. On the contrary, they can drive growth by joining the region’s emerging real-time payments ecosystem, which will improve their ability to innovate and transform while reducing the cost of infrastructure and operations.”

The ACI Worldwide and YouGov study also reveals how consumers in Thailand expect the benefits of using real-time payments domestically to extend across borders once they begin to travel internationally again, as well as when they shop cross border. For future international travel, consumers have elevated expectations for the transparency, safety and convenience of their payments when compared to their travel experiences pre-COVID-19:

Two thirds (66%) of Thai consumers who have travelled internationally in the past expect their usage of real-time payments to increase when they next travel.
70 percent say the ability to use their preferred payment methods while travelling abroad will be more important now. As a result, more than a third (35%) expect their usage of traditional payment methods such as cash to reduce when they next travel.
Three quarters (74%) say payment safety and fraud prevention are more important now, while more than two thirds (68%) say transparency of interchange rates is now of greater importance.

While the number of Thai consumers who are making international eCommerce purchases has increased over the past year, consumers are looking for further guarantees about payments to encourage them to do so more in the future:

More than a quarter (27%) of consumers are shopping more with merchants based in other Southeast Asia countries since the start of the pandemic, while a similar number (26%) are shopping more in stores outside of Southeast Asia.
The most popular factors that would encourage these shoppers to purchase products and services more regularly from international sellers are:
- Ability to pay with preferred domestic payment method (32%)
- Having a wider range of payment options than is available at present (25%)
- Reassurance that payment and personal data is safely transmitted, secured and stored by international sellers (25%)

“A focus on payments modernisation is vital for financial institutions that want to ride the wave of the region’s biggest and most transformative payments trend – the emergence of a cross-border, real-time payments ecosystem,” added Choo. “Unencumbered by legacy payment systems that can impede innovation in mature markets, countries in Southeast Asia can leverage robust domestic central payment infrastructures as the foundations for cross-border real-time payments, which will be a catalyst for growth and trade in the coming years.”

Find out more about consumer real-time payment preferences, and about how financial institutions and merchants in Southeast Asia can become real-time-ready, in the full report: Real-Time Goes Mainstream

Methodology:
The YouGov study was conducted during April 2021 on a nationally representative basis across Indonesia (2,000 consumers), Thailand (2,000 consumers), Singapore (1,000 consumers), and Malaysia (1,000 consumers.

ในปี 2564 ผู้บริโภคไทยเกือบสามในสี่ (72%) เลือกใช้วิธีการชำระเงินแบบเรียลไทม์ อาทิพร้อมเพย์ เป็นช่องทางหลักในการชำระเงิน ซึ่งเป็นอัตราที่สูงกว่าการใช้เงินสด (63%) และดิจิทัลวอลเล็ท (49%)
นับตั้งแต่เกิดการระบาดของโควิด-19 ผู้บริโภคไทยสี่ในสิบคน (40%) ใช้วิธีชำระเงินแบบเดิม เช่น เงินสด บัตรเครดิต และบัตรเดบิต น้อยลง
การที่ผู้บริโภคมีความต้องการรูปแบบการชำระเงินแบบเรียลไทม์มากขึ้น บ่งชี้ถึงความจำเป็นเร่งด่วนในการปรับปรุงระบบชำระเงินให้ทันสมัยทั่วภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงการสร้างระบบนิเวศการชำระเงินแบบเรียลไทม์ข้ามพรมแดนในระดับภูมิภาค

กรุงเทพฯ – 7 กรกฎาคม 2564 – ผลสำรวจของเอซีไอ เวิลด์ไวด์ (ACI Worldwide) (NASDAQ: ACIW) และยูกอฟ (YouGov) ระบุว่าผู้บริโภคไทยในปัจจุบันนิยมชำระเงินแบบเรียลไทม์ (Real-Time Payment) มากกว่าการชำระด้วยเงินสดและโมบายล์วอลเล็ท โดยในปี 2564 ผู้บริโภคไทยเกือบสามในสี่ (72%) เลือกใช้วิธีการชำระเงินแบบเรียลไทม์ เช่น พร้อมเพย์ (PromptPay) เป็นช่องทางหลักในการชำระเงิน ซึ่งเป็นอัตราที่สูงกว่าการใช้เงินสด (63%) และดิจิทัลวอลเล็ทที่ต้องโอนเงินเข้าบัญชีหรือบัตรเติมเงิน (49%)

ความจำเป็นที่ต้องเปลี่ยนรูปแบบการชำระเงินเนื่องจากการระบาดของโควิด-19 เป็นปัจจัยเร่งให้เกิดการเปลี่ยนไปใช้วิธีการชำระเงินแบบเรียลไทม์อย่างรวดเร็ว และนับตั้งแต่เกิดการระบาดของโควิด-19 ผู้บริโภคไทยสี่ในสิบคน (40%) ใช้วิธีชำระเงินแบบเดิม เช่น เงินสด บัตรเครดิต และบัตรเดบิต น้อยลง และส่งผลให้สองในสามของผู้บริโภค (66%) ใช้วิธีการชำระเงินแบบเรียลไทม์มากกว่าเดิม เมื่อเทียบกับช่วงก่อนการระบาด

การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้ผู้บริโภคในปัจจุบันคาดหวังว่าจะได้รับประสบการณ์แบบเรียลไทม์ผ่านอุปกรณ์โมบายเป็นหลัก แต่การชำระเงินมักทำได้อย่างล่าช้า การพัฒนาระบบชำระเงินแบบเรียลไทม์ช่วยให้ผู้บริโภค ผู้ประกอบการ และสถาบันการเงินสามารถชำระเงิน จ่ายบิล และโอนเงินได้ทันที แม้ว่าเงินสดถือเป็นวิธีการชำระเงินแบบ “ทันที” มาโดยตลอด แต่ระบบชำระเงินแบบเรียลไทม์ที่เกิดขึ้นนี้เป็นแนวทางการใช้เงินสดชำระเงินเข้าสู่ยุคดิจิทัล ย่นระยะเวลาชำระบัญชีที่รวดเร็วขึ้น ทั้งยังมีการแจ้งเตือนและการรายงานข้อมูลอย่างครบถ้วน

นายเลสลี่ ชู กรรมการผู้จัดการประจำภูมิภาคเอเชียของเอซีไอ เวิลด์ไวด์ กล่าวว่า “ความเปลี่ยนแปลงนี้สร้างความท้าทายให้กับสถาบันการเงิน ธนาคารและผู้ประกอบการที่ต้องสนองความคาดหวังและต้องการของผู้บริโภค องค์กรเหล่านี้จำเป็นที่จะต้องเร่งปรับปรุงระบบและการดำเนินงานให้ทันสมัย แม้ต้องเผชิญกับความท้าทายที่มีสาเหตุจากโควิด-19 ก็ตาม แต่หากมองอีกมุมหนึ่ง องค์กรจะสามารถขับเคลื่อนการเติบโตของธุรกิจด้วยการเข้าร่วมในระบบนิเวศด้านการชำระเงินแบบเรียลไทม์ที่เพิ่งเกิดขึ้นในภูมิภาคนี้ ซึ่งจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการคิดค้นสิ่งใหม่และปฏิรูปองค์กร ควบคู่ไปกับการลดค่าจ่ายด้านโครงสร้างพื้นฐานและการดำเนินงาน”

รายงานของเอซีไอ เวิลด์ไวด์ และยูกอฟ ยังระบุว่า ผู้บริโภคไทยคาดหวังว่าจะสามารถใช้ประโยชน์จากการชำระเงินแบบเรียลไทม์ในต่างประเทศได้เหมือนกับที่ใช้อยู่ในประเทศ เพื่อรองรับการสั่งซื้อสินค้าจากประเทศอื่น ๆ รวมถึงการเดินทางระหว่างประเทศเมื่อสามารถเดินทางได้ ซึ่งผู้บริโภคคาดหวังความโปร่งใส ความปลอดภัย และความสะดวกในการชำระเงินว่าจะอยู่ในระดับสูงกว่าประสบการณ์ที่เคยได้รับจากการเดินทางก่อนเกิดโควิด-19

สองในสาม (66%) ของผู้บริโภคไทยที่เคยเดินทางไปต่างประเทศคาดว่าตนเองจะใช้บริการชำระเงินแบบเรียลไทม์เพิ่มขึ้นในการเดินทางครั้งต่อไป
70 เปอร์เซ็นต์ระบุว่าความสามารถในการใช้ช่องทางการชำระเงินตามที่ต้องการขณะเดินทางไปต่างประเทศจะกลายเป็นเรื่องที่มีความสำคัญมากขึ้น และด้วยเหตุนี้ ผู้บริโภคกว่าหนึ่งในสาม (35%) คาดว่าในการเดินทางครั้งถัดไปจะลดการใช้วิธีการชำระเงินแบบเดิม เช่น เงินสด
สามในสี่ (74%) ระบุว่าความปลอดภัยในการชำระเงินและการป้องกันการฉ้อโกงมีความสำคัญเพิ่มขึ้น ขณะที่สองในสาม (68%) กล่าวว่าความโปร่งใสของอัตราแลกเปลี่ยนนับว่ามีความสำคัญมากขึ้นกว่าในอดีต

ผู้บริโภคชาวไทยที่ซื้อสินค้าอีคอมเมิร์ซจากต่างประเทศมีจำนวนเพิ่มขึ้นในช่วงปีที่ผ่านมา ขณะเดียวกันผู้บริโภคก็ต้องการมาตรการรับประกันเพิ่มเติมเกี่ยวกับการชำระเงิน เพื่อให้เกิดความเชื่อมั่นในการจับจ่ายซื้อสินค้าเพิ่มขึ้นในอนาคต:

ผู้บริโภคมากกว่าหนึ่งในสี่ (27%) ซื้อสินค้าจากผู้ประกอบการในประเทศอื่น ๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เพิ่มขึ้น นับตั้งแต่เกิดการแพร่ระบาด ส่วนผู้บริโภคที่ซื้อสินค้าเพิ่มขึ้นจากร้านค้านอกเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ก็อยู่มีจำนวนใกล้เคียงกัน (26%)
ปัจจัยสำคัญที่สุดที่จะช่วยกระตุ้นให้ผู้บริโภคซื้อสินค้าและบริการอย่างสม่ำเสมอมากขึ้นจากผู้ขายในต่างประเทศมีดังต่อไปนี้
- ความสามารถในการจ่ายเงินผ่านช่องทางชำระเงินในประเทศตามที่ต้องการ (32%)
- การนำเสนอทางเลือกในการชำระเงินที่หลากหลายกว่าปัจจุบัน (25%)
- ความมั่นใจว่าข้อมูลการชำระเงินและข้อมูลส่วนตัวจะได้รับความคุ้มครอง โดยมีการรับ-ส่งและจัดเก็บข้อมูลอย่างปลอดภัยโดยผู้ประกอบการในต่างประเทศ (25%)

นายเลสลี่ ชู กล่าวเสริมว่า “การให้ความสำคัญกับการปรับปรุงระบบชำระเงินให้ทันสมัยถือเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งของสถาบันการเงินที่ต้องการช่วงชิงความเป็นผู้นำท่ามกลางกระแสความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่สุดในด้านระบบชำระเงินในภูมิภาคนี้ รวมถึงการสร้างระบบนิเวศการชำระเงินแบบเรียลไทม์ระหว่างประเทศ ขณะที่ประเทศที่พัฒนาแล้วถูกผูกมัดด้วยระบบชำระเงินรุ่นเก่าซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการสร้างสรรค์นวัตกรรม แต่ประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ไม่มีอุปสรรคในเรื่องนี้ ดังนั้นจึงสามารถใช้ประโยชน์จากโครงสร้างพื้นฐานที่แข็งแกร่งกับระบบชำระเงินส่วนกลางภายในประเทศ เพื่อรองรับการชำระเงินแบบเรียลไทม์ระหว่างประเทศ ซึ่งนับเป็นปัจจัยเร่งให้เกิดการขยายตัวด้านธุรกิจและการค้าในช่วงหลายปีนับจากนี้”

ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับความนิยมที่ผู้บริโภคมีต่อระบบการชำระเงินแบบเรียลไทม์ และแนวทางที่จะทำให้สถาบันการเงินและผู้ประกอบการในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้พร้อมใช้ระบบเรียลไทม์ ได้จากรายงานฉบับเต็ม: Real-Time Goes Mainstream

ระเบียบวิธีที่ใช้ในการศึกษา
รายงานการศึกษาของ YouGov อ้างอิงผลการสำรวจความคิดเห็นที่ดำเนินการในช่วงเดือนเมษายน 2564 ในประเทศอินโดนีเซีย (ผู้บริโภค 2,000 คน), ไทย (ผู้บริโภค 2,000 คน), สิงคโปร์ (ผู้บริโภค 1,000 คน) และมาเลเซีย (ผู้บริโภค 1,000 คน)